สัญญาณไฟเกิดขึ้นได้ยังไง
สัญญาณไฟจราจรแดงเขียวเกิดขึ้นครั้งแรกที่ประเทศอังกฤษเมื่อศตวรรษที่19
ในตอนนั้น
ที่เมืองยอร์กของอังกฤษมีหญิงสาวเป็นจำนวนมากใช้เสื้อผ้าสีแดงและสีเขียวมาแสดงสถานะของตัวเอง
หญิงสาวที่ใส่เสื้อผ้าสีแดง หมายความว่า ฉันแต่งงานแล้ว ไม่ต้องมาขอความรักจากฉัน
ส่วนหญิงสาวที่ยังไม่ได้แต่งงานโดยทั่วไปจะใส่เสื้อผ้าสีเขียว
เนื่องจากในตอนนั้นที่อังกฤษมักจะเกิดอุบัติเหตุทางรถยนต์อยู่เสมอ
รัฐบาลอังกฤษจึงใช้ความหมายแฝงที่ผู้หญิงใส่เสื้อผ้าสีแดงสีเขียวมาเป็นสัญญาณไฟจราจร
ในปี1868 ได้ติดตั้งสัญญาณไฟ
2 ดวงที่ถนนสายหนึ่ง ทำเป็นสัญลักษณ์
สีแดงหมายถึงห้ามรถแล่นผ่าน ส่วนสีเขียวหมายถึงรถแล่นผ่านไปได้
นับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา อุบัติเหตุบนท้องถนนก็ลดลงเป็นจำนวนมาก
ในปี1886 หลังจากที่มีรถยนต์ใช้กันแล้ว
สัญญาณไฟแดงเขียวก็ได้รับการยอมรับและใช้กันมากมายหลายประเทศ ส่วนสัญญาณไฟจราจรสีเหลืองนั้นถือกำเนิดเกิดขึ้นช้ากว่าไฟแดงเขียวถึง
57 ปี
ซึ่งสัญญาณไฟเหลืองนั้นเป็นผลงานการประดิษฐ์คิดค้นของชาวจีนนามว่า หูหยูติ่ง
ในปีนั้นหูหยูติ่งเพิ่งจะอายุ 20 ปีเท่านั้นได้ไปศึกษาต่อที่สหรัฐอเมริกา
มีวันหนึ่ง เขายืนอยู่ที่สี่แยกที่มีผู้คนพลุ่นพล่านมาก มองไปที่สัญญาณไฟแดง
ตอนที่กำลังคิดจะข้ามถนน ทันใดนั้น
ก็มีรถยนต์คันหนึ่งขับอย่างเร็วปรือเฉียดผ่านตัวเขาไป เขาสะดุ้งสุดตัวตกใจมาก
และในทันใดนั้นนั่นเอง เขาก็ปิ๊งไอเดียเด็ดขึ้นมาอย่างหนึ่งว่า
ทำไมไม่มีสัญญาณไฟอะไรสักสีมาแทรกกลางอยู่ระหว่างไฟแดงกับไฟเขียวนะ
เพื่อบอกรถยนต์ให้เตรียมหยุด ดังนั้น
เขาจึงเสนอความคิดไปยังฝ่ายการจราจรให้ติดตั้งสัญญาณไฟสีเหลืองเพิ่มอีกหนึ่งดวง
นับตั้งแต่นั้นมา ก็เริ่มมีสัญญาณไฟจรารจร แดง เหลือง เขียว 3 สี และก็ค่อย ๆ แพร่ลายไปทั่วโลกที่แท้สัญญาณไฟสีเหลืองก็เกิดขึ้นด้วยฝีมือชาวจีนนี่เอง เก่งจริง ๆ หูหยูติ่ง
马路红黄绿灯的由来
红绿灯最早出现在19世纪的英国。当时, 英国约克城市的许多女性用红色的衣服和绿色的衣服来表示自己的身份。女人穿着红衣服是在告诉人们
: “我已经结婚了,请不要再向我求爱。” 没有结婚的女人一般都穿绿衣服。
由于当时英国城市里老是发生车祸, 英国政府就根据女人穿红绿衣服的含义,于 1868年在一条马路上安装了两盏煤气灯, 作为标志。红灯表示禁止通行,绿灯则表示可以通行。从那以后,
交通事故大大减少了。
1886年汽车出现之后,红绿灯便得到许多国家的认可和采用。黄色交通信号灯的出现红绿灯比晚57年, 是由中国人胡汝鼎发明的。那时年仅
20 岁的胡汝鼎到美国留学深造。一天,他站在繁华的十字路口,看到红灯, 正想过马路的时候, 一辆汽车突然从他的身边飞过, 吓了他一跳。突然, 他脑子里闪过一个念头
: 为什么不在红绿灯之间再加一个其他颜色的信号灯, 来指示车辆停止还是前进。于是, 他建议交通当局再安装一种黄色信号灯。从那时候开始, 就出现了红黄绿三种交通信号灯,
并逐渐在全世界普吉。
Translated: Zab Chinese Story
Source: Hong Lv Deng De Gu Shi